So i had someone ask me why i posted this and i kinda felt obliged to myself to explain why ..
Of late it feels awesome to see the increase in numbers of people that decided to pick up a bike and start cycling. Specially during this time of CMCO its a common sight seeing groups of people cycling on the road.
Compared to when i started cycling 7,8 years ago where it was a pretty tight community and how excited i get when i see someone else on a bicycle. Today this common sight can be seen everywhere. But i will be honest that i still feel happy seeing all these road bikes, foldies, touring bikes etc on the road.
But i just feel many have forgotten or even not know some ethics or safety rules while cycling and its not just putting their lives and other road users life in danger but also giving many other cyclist a bad name.
For instance, you might think cycling into town in a big group is an awesome cool idea (well it is) but what’s not cool is hogging the whole lane and not cycling in a single file. I understand the adrenaline rush of speeding down the main roads in a big group in your tight branded cycling gear and your super expensive bikes, it does make your balls feel bigger. But imagine the other road users like the car drivers, motorists, bus drivers who are stuck behind your group. How do they feel ? They might be rushing for an important appointment and at the same time trying hard not to hit you. And when they accidentally or on purpose hit you. You cry road rage!!
Let’s not get me started about those cycling on major highways or not being on the motorcycle lanes on the highway.. seriously like seriously your not even suppose to be on them. Did you not look up basic safety rules before you jump on a bicycle?
Cyclist are starting to be considered an annoying bunch by many shop owners and residence. And honestly i dont blame these people for feeling annoyed.. during weekends many cyclist would get up pretty early in the morning and park their cars for 3,4 hours in free parking spaces around commercial centres and the curbs of residential areas. I know its free and happy your mother heart you want to park there. But those free parking spots are meant for the consumers who frequents the shops there when you take up those free spaces for hours and hours what happens to those shop owners running their businesses? Or how bout those residence that gets pretty annoyed with you filling up all the parking space around their residence. I see this often, i live in bukit Jelutong.
I wont go into all the other details like helmet, lights and bell.. which i myself at times am guilty for not having on my rides..
But where and what i am trying to get to is the fact that, when you dont adhere to the basic ethics of cycling and start annoying the other road users you paint a pretty bad name to many other cyclist. You see not everyone looks at cycling as a status symbol or a cool hobby like golf. Some people rely on their bicycles to get them from point to point. People commute to work on bicycles, people tour on bicycles and there are those who’s living depends on those 2 wheels. But by our selfish actions and drawing bad light to cycling, I fear the consequences of extra rulings, stringent laws or even the ban of my fav 2 wheels on the road.
By then it would be a tad too late to scream unjust.
So i really hope for those who are already cycling to refresh on your cycling road rules and ethics and for those who are new or just about to start to scroll up these road rules and digest them before planning your next ride.
There’s a Malay saying that goes “Nila setitik Rosak Susu sebelanga”.. dont just because of our selfish and arrogant act destroy this awesome thing that we all enjoy most, which is Cycling 🙂
So please .. Use Your BRainnnnnnnn!!
Nite :)
act road rules 在 Lilacookie Facebook 的最佳貼文
When citizen realise their rights, act mighty and openly cuss and discriminate royalties, and do the wrong things.
Making fun of royalties is something anybody can do, and it can’t be stopped if done in secret. But how stupidly brave can people be to openly discriminate the Agung?
Even if there is a lapse between the chosen governments and whatnot, the law is still the law, but even if the law doesn’t matter to you, it’s still wrong to openly discriminate others.
New hope new country, but we’re already representing ourselves the wrong way by doing whatever we want, whenever we want. Without a government a country can still exist, but without the law with people fearing and obeying it, there will only be chaos and the emergence of groups so self-righteous , creating havoc and terrorising others.
Everyone is talking about politics as if they know so much. Most of what we know is either rumours on social media, or the propaganda’s that the bias news articles write, and influence us.
Instead of pointing out how the government has wronged us and exposing the faults of others for the sake of gossip, we should improve ourselves as citizen. Be more courteous on the road, polite to others, practice saying thank you’s, holding the doors for others and helping the needy.
A lot of the people argue why we have rules for this, rules for that, and make so many racist and uncivilised comments towards different walks of life and religions.
I, as a Muslim can’t speak for other religions, and I know how much people criticise the religion for its rules and regulations. But the truth is, only 30% of the Quran emphasises on the do’s and the don’t that Muslims and Non-Muslims criticise, yet we don’t focus on the 70% of the Quran that emphasises on ethics and how to treat others. Let’s just improve ourselves as citizens during change towards the new government, we all want the change but are we ready for the good change? Let’s be better together, for a better Malaysia.
Image from google 😬
#GE14 #Malaysia
act road rules 在 Roundfinger Facebook 的最讚貼文
สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเมื่อเช้าครับ :)
น้อง-พี่-ที่รัก:
รักกันไม่ได้แปลว่าจะต้องชอบกันทั้งหมด
(เขียนถึงเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์)
---
1
ครั้งหนึ่งที่ป๊ากับพี่สาว (ซึ่งผมเรียกว่า แจ้) มีปากเสียงกัน ผมพยายามพูดอะไรบางอย่างให้สองฝ่ายคืนดี หายโกรธ ยกเหตุผลต่างๆ นานา สิ่งที่พี่สาวผมบอกกลับมาก็คือ "แกไม่ต้องยุ่งหรอกน่า เค้าอยู่กันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เดี๋ยวมันจางลงก็กลับมาคุยกันดีๆ เหมือนเดิม แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้" และคำที่ผมจำได้แม่น "ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ คนในบ้านทะเลาะกันมันเป็นเรื่องปกติ"
...
2
เมื่อวานได้ดู "น้อง-พี่-ที่รัก" โดยมิได้คาดหวังว่าหนังจะเน้นความสัมพันธ์ของพี่ชาย-น้องสาวขนาดนี้ แต่ยิ่งนั่งดูไปมากเท่าไรก็ยิ่งคิดถึงตัวเองและพี่สาวมากขึ้นเท่านั้น
ถามว่าหนังสนุกไหม ตอบว่า-มาก มีมุกให้หัวเราะเกลื่อนกลาดไปทั้งเรื่อง มุกส่วนใหญ่น่ารัก โดน และไม่กริบ น่าจะเพราะการแสดงที่แสนจะพลิ้วของซันนี่และญาญ่า โดยเฉพาะซันนี่ที่เล่นแบบลืมไปเลยว่าตัวเองหล่อ จากสเต็ปของฮิวจ์ แกรนท์ เรื่องนี้เขาได้ข้ามไปสู่สเต็ปของจิม แคร์รีย์เป็นที่เรียบร้อย แต่นั่นแหละ-หนังเรื่องนี้มีมากกว่าความสนุก และอยากชวนไปดูกันเยอะๆ ครับ
ที่คิดถึงตัวเองกับพี่สาวเพราะหนังแสดงให้เห็นถึง "ความต่าง" ระหว่างสองคนนี้แบบสุดขั้ว พี่ชายก็ไม่เอาไหนได้แบบสุดๆ ไร้ระเบียบ เละเทะ เรื่อยเจื้อย เอาตัวรอดด้วยความกะล่อนไปวันๆ ตรงข้ามกับน้องสาวที่เป๊ะ เรียนเก่ง การงานดี กีฬาเลิศ ชีวิตสองคนนี้เหมือนฟ้ากับเหว
ผมกับพี่สาวไม่ได้ต่างกันขนาดนี้ แต่ก็มีส่วนคล้าย ผมค่อนไปทางไร้ระเบียบ รักอิสระ ขณะที่พี่สาวเรียนเก่ง มีระเบียบกับชีวิต ซึ่งผมคิดว่าพี่น้องส่วนใหญ่มักจะมี "ความต่าง" ในแบบของตน
...
3
มีคำพูดว่า "เพื่อนคือญาติที่เราเลือกได้เอง" กลับกันคือ "พี่น้องคือเพื่อนที่เราไม่ได้เลือก และเลือกไม่ได้" เกิดมาก็มีไอ้คนคนนี้อยู่ร่วมบ้านกับเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ต้องใช้ชีวิตกับมันไปอีกหลายปี เผลอๆ ก็อาจจะทั้งชีวิต
เปลี่ยนคนก็ไม่ได้ เลิกคบหากันก็ไม่ได้
เชื่อเหลือเกินว่าบ่อยครั้งที่พี่หรือน้องจะคิดในใจว่า "ถ้ากูเปลี่ยนพี่น้องเป็นคนนั้นคนนี้ได้คงดี" แต่ประเด็นคือ-มึงเปลี่ยนไม่ได้ไงล่ะ
"พี่-น้อง" จึงเป็นความสัมพันธ์ประหลาด ไม่ได้เลือกคบกัน แต่ต้องทนกันไป ไม่ได้ชอบกันแต่ต้องอยู่กันไปแบบทู่ซี้ แล้วไอ้ความอยู่ด้วยกันนานนี่เองแหละที่สร้าง "ความผูกพัน" ขึ้นมา กระทั่งกลายเป็นความสัมพันธ์รสปะแล้ม คือ "ไม่ได้ชอบมึง แต่รักมึงนะ"
...
4
ในครอบครัวที่พี่หรือน้องคนใดคนหนึ่งมีบุคลิกที่ชัดเจน สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง อีกคนจะกลายเป็นด้านตรงข้ามกับคนนั้นไปเลย
พี่-น้องคือกระจกกลับด้านของกันและกัน (ส่วนหนึ่งเป็นเช่นนั้น)
ความที่อยู่ด้วยกันมานาน พี่น้องเป็นความสัมพันธ์ที่ "เปรียบเทียบ" กันโดยไม่ตั้งใจ แม้ปฏิเสธแต่ก็อดไม่ได้หรอกที่จะเปรียบเทียบ บางทีการเปรียบเทียบนี้อยู่ลึกจนเราไม่รู้ตัว แต่มันมีอิทธิพลต่อ "ความเป็นเรา" มหาศาล
หากพี่เป็นเด็กเรียน ตอนแรกน้องจะพยายามฮึดสู้ แต่ถ้าทำได้ไม่ดี น้องจะเฉไปเอาดีทางอื่นทันที เช่น กลายเป็นคนบ้ากีฬา บ้าศิลปะ เล่นเกม หรืออะไรสักอย่างที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนในใบเกรด
หากพี่เจ้าระเบียบมากๆ น้องจะดื้อด้าน แหกกฎ หากน้องขยัน พี่อาจทำตัวกลับกันคือนั่งๆ นอนๆ สบายๆ หากน้องไปทางบุคลิกดี สำรวมเรียบร้อย พี่อาจหนีไปทางตลกโปกฮา และอื่นๆ อีกมากมาย ลองมองพี่น้องรอบตัวก็จะเห็น "กระจกกลับด้าน" เช่นนี้จำนวนไม่น้อย
เราต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน
พูดอีกอย่างคือ "เราต่างสร้างตัวตนของอีกคนขึ้นมา"
ซึ่งบ่อยครั้งไม่ได้สร้างให้อีกคนเหมือนเรา แต่กลับสร้างให้อีกคนแตกต่างจากเรา เพราะเขาต้องการ "หนี" ไปอีกทาง ไม่ให้ซ้ำทางพี่ ไม่ให้ทับทางน้อง
พี่-น้องจึงเป็นโจทย์แรกๆ ของชีวิตที่เราต้องเจอ โจทย์ที่ว่าเราจะ "เอาดี" แบบไหนบนเส้นทางตัวเอง หากสู้กับอีกคนหนึ่งบนทางเส้นนั้นไม่ได้ ยังเหลือทางไหนให้ไปอีก แล้วการหาทางออกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เองที่หล่อหลอม "ตัวตน" ของเราขึ้นมาให้เป็นแบบที่เราเป็นตอนโตขึ้น
และการกลับด้านเช่นนี้เองที่ค่อยๆ สร้างความเป็น "คู่ตรงข้าม" ขึ้นมาในตัวเราสองคน ค่อยๆ ถ่างเราห่างจากกัน ค่อยๆ ทำให้เรามีโลกคนละใบ และเป็นไปได้ว่า--ค่อยๆ ทำให้เราเข้าใจกันและกันน้อยลงเรื่อยๆ
...
5
มองไปที่พี่ เราจึงเห็นว่าเขาอยู่บนโลกอีกใบหนึ่ง เราเป็นมนุษย์คนละดาวที่ถูกเสก (หรือสาบ) ให้มาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
โจทย์ที่สองที่คนมีพี่น้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นไปจนถึงเป็นผู้ใหญ่ก็คือ แล้วเราจะอยู่ร่วมกับ "มนุษย์คนละดาว" อย่างไรให้มีความสุข การจะได้มาซึ่งคำตอบของโจทย์นี้ บางคนใช้เวลาทั้งชีวิต
ราวกับว่าเรามีพี่มีน้องที่ต่างกันก็เพื่อให้เราได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนที่แตกต่าง (มากน้อยก็ว่ากันไป) หนีไปไหนไม่ได้ ตัวอาจแยกจากกันบางเวลา แต่หัวใจมันผูกกันไปแล้ว
ไม่ชอบมัน แต่รักมัน
นี่คือแบบฝึกหัดความสัมพันธ์ในแบบที่ "คู่รัก" มอบให้ไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์แบบคู่รักนั้นพร้อมจะ "บอกเลิก" กันได้เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหว แต่พี่น้องจะไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ไปถึงจุดนั้น เพราะเราต่างรู้กันว่าเราไม่มีวันเลิกเป็นพี่เป็นน้องกัน หรือหากต้องเลิกเป็นจริงๆ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เป็นแผลเป็นที่เหลือบไปเห็นทีไรก็เจ็บแปลบขึ้นมาทุกครั้ง
เราจึงประคับประคอง "ความต่าง" ด้วยทุกวิถีทางที่คิดออก
...
6
เช่นนี้แล้ว การเป็นพี่น้องจึงไม่ใช่ความสนุกสวยงามแบบภาพฝัน ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ดีเหลือเกินที่ไม่ตอกย้ำภาพฝันนั้น หากมันคือการ "ทำงาน" แบบหนึ่ง เป็นการทำงานทางด้านจิตใจที่จะยอมรับและยอมรักคนที่แตกต่างจากเราได้ด้วยหัวใจ มิใช่ด้วยการตัดสินพิพากษาเขาด้วยมาตรฐานส่วนตัว
เราจะรักพี่หรือน้องเราได้ก็ต่อเมื่อเราไป "ยืนในรองเท้าของเขา" สวมรองเท้าเขา มองชีวิตจากมุมของเขา เงื่อนไขของเขา ประสบการณ์ที่หล่อหลอมมาของเขา แล้วจึงจะเข้าใจว่าทำไมเขาเป็นแบบนั้น ทำไมเขาคิดเช่นนั้น แล้วเราอาจต้องประหลาดใจด้วยซ้ำว่า ที่เขาเป็นแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเราเป็นแบบนี้
ความเข้าใจจะเกิดขึ้นเมื่อหมั่นสลับรองเท้ากันใส่ หมั่นแลกจุดยืนของกันและกัน แล้วเราจะไม่ตัดสินการกระทำของพี่หรือน้องด้วยจุดยืนของเราฝ่ายเดียว (เหมือนที่ "พี่ชัช" ในเรื่องตัดสินการช่วยเหลือของน้องสาวด้วยมุมมองของตัวเองในวันแต่งงาน)
พี่น้องเปิดโอกาสให้เรา "แลกรองเท้า" กันบ่อยกว่าความสัมพันธ์แบบอื่น ที่พร้อมจะให้อภัยน้อยกว่า
หลายครั้งผมคิดว่า ของขวัญมีค่าที่สุดที่พี่น้องจะมอบให้แก่กันไม่ใช่ข้าวของเลอเลิศอันใดเลย หากคือการให้อภัยกันด้วยหัวใจที่ไม่ติดค้าง อ้าแขนออกแล้วบอกว่า "ฉันโอเคกับความเป็นแก" แม้ในใจเราอาจอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราคิดว่าน่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่นั่นอาจเป็นเพียงการตัดสินจากมาตรฐานส่วนตัวก็เป็นได้ การโอบกอดในสิ่งที่เขาเป็นนั้นอาจมีค่ามากกว่าการพยายามหยิบยื่นสิ่งที่ (เราคิดว่า) ดีให้แก่เขาด้วยซ้ำไป
...
7
ผมชอบที่หนังไม่ได้จบที่การเปลี่ยนแปลง "ตัวตน" ของพี่หรือน้อง ทั้งสองยังเป็นแบบที่ตัวเองเป็น คนเราไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ
พี่น้องในเรื่องไม่ได้เปลี่ยน "ตัวตน" หากเข้าใจมากขึ้นว่าเราควรเป็นพี่น้องกันด้วยความรู้สึกแบบไหน
เปลี่ยนจากการแบกรับน้ำหนักของการเปรียบเทียบ จับจ้องแต่ความต่าง ก่นด่าในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น ให้กลายเป็นความปรารถนาดีต่อกัน
ใช่, ปรารถนาดีต่อกัน--เราอาจมีกันและกันเพื่อเรียนรู้สิ่งนี้
เราสามารถปรารถนาดีต่อกันได้โดยไม่ต้องถูกใจอีกฝ่ายไปเสียทุกเรื่อง และถ้าเราปรารถนาดีต่อเขา อยากเห็นเขามีความสุข เราอาจต้องยอมบางอย่าง เราอาจไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงเขา เราเพียงดำเนินชีวิตข้างกันด้วยหัวใจที่เปี่ยมความคาดหวังให้อีกคนหนึ่งมีความสุขที่สุด
นี่คือบทเรียนเรื่อง "ความปรารถนาดีอย่างถูกวิธี" ที่พี่น้องสอนเรา
สิ่งที่พี่ชัชพูดกับหลาน (ลูกชายของน้องสาว) ในตอนท้ายเรื่องว่า "เป็นพี่แล้วนะ รักน้องให้มากๆ นะ" นั้นมีความหมายลึกซึ้งเมื่อตัวเขาเองได้ผ่านรอยปริแยกแห่งความสัมพันธ์ของพี่น้องมาแล้ว
"รักน้อง" นั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ "รักยังไง" ต่างหากที่เราต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะเรียนรู้
...
8
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พี่สาวก็ซื้อกับข้าวอร่อยๆ มาฝากป๊า แล้วทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงกินข้าวพูดคุยกันตามปกติ
บ้านเรากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่จะว่าไปก็น่าถามถึงความหมายของคำว่า "ปกติ" มันอาจเป็นแบบที่พี่สาวหรือแจ้ของผมบอกไว้ก็เป็นได้ว่า การทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่งของคนในบ้าน
เราอาจทะเลาะกันเพื่อเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ด้วยกัน ให้เราค่อยๆ สอบผ่านวิชา "ความปรารถนาดีอย่างถูกวิธี" ไปทีละขั้น เหมือนกันกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่สาว ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นมนุษย์คนละดาวซึ่งถูกเสก/สาบให้มาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ไม่ได้ลงรอยไปเสียทั้งหมด แต่ยืนยันได้ว่าเรารักกันเสมอ
นี่คือสิ่งที่พี่สาวคนละดาวสอนผมโดยที่เธอไม่ได้พูด แต่ความสัมพันธ์บนความต่างอันยาวนานบอกใบ้ความลับของชีวิตบางอย่างกับผมว่า "การที่เราจะรักใครสักคน เราไม่จำเป็นต้องชอบทั้งหมดที่เขาเป็น"
ซึ่งความลับนี้อาจไม่ได้ใช้ได้เฉพาะกับ "พี่-น้อง" เท่านั้น
...
9
ผมกับพี่เคยมีช่วงเวลาที่เราห่างจากกันและหยุดพูดคุยกันไป แต่แล้ววันหนึ่งเราก็กลับมาคุยกันอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ของพี่น้องบางคู่ไม่หวานหอมหรอกครับ ใครที่มีความสัมพันธ์ราบเรียบกับพี่น้องก็นับว่าโชคดี แต่ผมเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีอีกแบบหนึ่ง
ผมได้รู้จักความรักที่มีรสขม และผมก็เชื่อว่าพี่สาวของผมก็ได้ลิ้มรสนั้นจากความรักระหว่างเราเช่นกัน
ถ้าต่างกันขนาดนี้แล้วเรายังรักกันได้ ถึงวันหนึ่งบทเรียนนี้น่าจะแผ่ขยายพื้นที่หัวใจให้เรารักคนที่แตกต่างที่ต้องพบเจอในชีวิตได้อีกมากมายนัก
นี่อาจเป็นเหตุผลที่เราถูกเสกให้อยู่ในบ้านหลังเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก
ผมรู้ดีว่าพี่รักผม และผมก็รักพี่ เราไม่ได้ชอบทั้งหมดที่อีกคนเป็น แต่เราค่อยๆ เรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่เราไม่ชอบนั้น
ผมอยากชวนพี่ไปดูหนังเรื่องนี้ แต่ก็รู้ดีว่ามันคงจะดูแปลกๆ ยังไงก็เถอะ ผมเชื่อว่าถ้าพี่ได้ดูเค้าจะคิดถึงผม ฉากที่พี่น้องกอดกันตอนท้ายเรื่องคงแทนความรู้สึกระหว่างเราได้ดี
ระยะห่างระหว่างเรานั้นห่างกันมาก ขณะเดียวกันก็ใกล้ชิดกันมาก
จะมีความสัมพันธ์แบบไหนสอนเราได้เช่นนี้อีก
อย่าเชื่อว่าความรักจะมีแต่รสหวาน และอย่าเชื่อว่าความรักที่ไม่หวานนั้นไม่สวยงาม
มันสวยงามอีกแบบหนึ่ง
ก็เหมือนพี่หรือน้องของเรานั่นแหละ-เขาสวยงามในแบบเขา
และสิ่งที่เราควรทำที่สุดคือโอบกอดความสวยงามนั้น
#น้องพี่ที่รัก
#BrotherOfTheYear
Sister-Brother-Baby:
Love each other doesn't mean we have to like each other all.
(write to some content in the film)
---
1
One time dad and sister (which I call jae) got into an argument. I tried to say something to two sides. Good night. I'm angry. All the reason. What my sister said back is " you don't have to mess with me. They live together. For decades, it will fade. We will come back to talk well as usual. Just not now " and the words I remember " no need to make a big deal. People in the house fight is normal "
...
2
Yesterday, I watched "Brother-Brother-darling" without expecting the movie to focus on brother-sister relationship like this. But the more I sit and watch, the more I think about myself and my sister.
If you ask if the movie is fun. I say - there are jokes to laugh at. Most of them are cute and not grip. It should be because of sunny and yaya, especially sunny playing forgetful. Let's say he's handsome from this hugh grant step. He has already crossed to Jim Carrie's steps, but that's it - this movie is more than fun and I want to invite you to watch a lot.
I miss myself and my sister because the movie shows the difference " between these two extreme. My brother can't want to go anywhere. No mess. Keep going to survive with the day. The perfect sister. Good at studying, good job. Great Sports. These two lives are like sky and abyss.
Me and my sister are not this different, but there is a similar part of me. I am quite unorganized, free love while my sister is good at studying, organized with life, which I think most brothers always have "different" in their own way
...
3
There is a word that "friends are relatives that we can choose they are" brothers are friends that we didn't choose and can't choose I was born, there is this person in our house with us. No matter what, we have to live with it. Many more years, maybe my whole life.
I can't change people. I can't stop being in relationship.
I believe that I often think in my heart, "if I could change this person, it would be good" but the point is - you can't change.
" Brother-sister " is a strange relationship. We don't choose to be together, but we have to endure each other. We don't like each other, but we have to live together for a long time that created " Bond " until it becomes a relationship. And it's " I don't like you but I love you
...
4
In a family where one brother or brother has a super clear personality. The other will become the opposite side of that person.
Brother-sister is a mirror back to each other's side (part of them)
Being together for a long time. Brothers is a relationship that " Compare " unintentionally. Even in denial, we can't help but compare. Sometimes this comparison is so deep that we don't realize, but it influences " US "
If you were a student, at first, you would try to fight. But if you didn't do well, you would go to get good things right away, such as becoming crazy, Sports, crazy, art, game or something that is not about studying in grade card.
If your brother is very organized, you will be stubborn and break the rules. If you are diligent, you may act back. Sit and sleep comfortably. If you go to a good personality, you may run away from the funny way. Funny way, and more. Let's see brothers around. I will see a few "mirrors" like this.
We all influence each other.
Another saying is " we all create one another's identity
I often don't create another person like us, but it makes another person different from us because he wants to "run away" the other way, not to repeat the way. I won't let you over the way.
Brother-sister is the first problem of our life that we have to find. What kind of "we will" do on our path. If we can't fight with another person on the road, there is still any way to go. Finding a solution like this over and over again. The handsome one who we are " to be the way we were when we were growing up.
And this kind of turning back that slowly creates the "opposite couple" in the two of us slowly spread us apart. Slowly makes us a different world and it's possible that -- slowly makes us understand each other less.
...
5
Look at my brother, I see that he is on another planet. We are human beings who are made (or) to be in the same house.
The second problem that people have siblings slowly learn from teenagers to mature. How can we live with "different stars" to be happy to get the answer to this problem. Some people spend their whole life.
As if we have different brothers, so that we can learn to live with different people (no matter how much we say). We can't go anywhere. We may be separated for some time, but our hearts are tied.
Don't like it but love it
This is the kind of relationship training that " couples " can't give because couples are ready to " break up " when it comes to the point where they can't stand it, but brothers won't let the relationship reach that point because we both know that we will never stop being brother. Sister or if you have to stop being, it would be the saddest thing in life. It's a scar that I see it, it hurts every time.
So we support "the difference" in every way we can figure out.
...
6
Like this, being a sibling is not a fun, beautiful dream. This movie is so good not to remind that dream. If it is to "work" a mental work to accept and love someone who is different from us with the heart. Not by judgement, judge him by personal standards.
We can only love my brother or brother when we go to "Stand in his shoes" wearing shoes. He looks at life from his angle. His condition. His handsome experience, then you will understand why he is like that. Why he thinks so. We may even be surprised that he is because we are.
Understanding will happen when switching shoes to exchange each other's stand and we will not judge the actions of brother or brother by one side. (like "brother chor cuddle hours" in judging sister's help with their own perspective in Wedding day)
Brothers open the opportunity for us to "exchange shoes" more often than other relationships that are less ready to forgive.
Many times, I think that the most valuable gift that brothers will give to each other, not a great thing. If it is to forgive each other with a heart that doesn't owe each other with open arms and say "I'm okay with you" even in our hearts, we may want him to change. In a way we think it's better than we are, but that may be just judging by personal standards. Embracing who he is is more valuable than trying to give him what (we think) is good.
...
7
I like that the movie doesn't end at changing "who" of both of you or sisters. It's still the way they are. People don't change easily.
Brothers and sisters don't change "who they are" if you understand what kind of feelings we should be brothers.
Change from carrying the weight of comparison, but the difference, cursing what the other is to be best wishes for each other.
Yes, wish for each other -- we may have each other to learn this
We can wish to be good to each other without liking the other. and if we wish to be good for him happy, we may have to give up something. We may not have to try to change him. We just live beside each other with a heart. Expectation for one another to be the happiest
This is the lesson about "best wishes" that brothers teach us.
What brother chor cuddle said to the grandchild (sister's son) at the end, "I am a brother now. I love you very much" is a deep meaning when he has passed the cremation of brothers relationship.
" love you " is for sure, but " how to love " is what we take a long time to learn.
...
8
After a few days, my sister bought some delicious rice for dad. Then the whole family sat around the band, eating and talking as usual.
Our house is back to normal again, but it's nice to ask about the meaning of " normal it may be the way my sister or jae said. Fighting is normal for people in the house.
We may fight to learn how to be together. Let us gradually pass the "best wishes" class. Same step by step with the relationship between me and my sister. Nowadays we are still human beings who are made / scalmed / scalmed in the same house. Not all the marks, but I can confirm that we always love each other.
This is what a different star sister taught me without saying, but a long relationship. Hints some secrets of life to me, "to love someone, we don't have to like all that they are"
This secret may not only be used with "Brother-sister"
...
9
My brother and I used to have a time when we were apart and stopped talking to each other. But then one day we came back to talk again.
Some brothers relationship is not sweet and fragrant. Anyone who has a smooth relationship with brothers is lucky. But I think I am lucky.
I have known bitter love, and I believe my sister also tasted it from our love.
If it's this different, we can still love each other until one day. This lesson should spread our heart space to love many different people who have to meet in life.
Maybe this is why we were conjured in the same house since we were young.
I know that you love me, and I love you. I don't like all that the other person is, but we slowly learn to accept what we don't like.
I want to invite you to watch this movie, but I know that it will look strange. I believe that if you watch it, they will miss me. The scene where brothers hug each other at the end, the story will replace our feelings.
The distance between us is so far apart, meanwhile, very close.
What kind of relationship can teach us like this?
Don't believe that love is only sweet and don't believe that love is not sweet.
It's beautiful in another way.
Just like our brother or brother - he is beautiful in his way.
And all we should do is embrace that beauty
#น้องพี่ที่รัก
#BrotherOfTheYearTranslated
act road rules 在 Road rules: roundabouts - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>